2011年2月15日星期二

การขนส่งทางอากาศ

การบินเริ่มเข้ามามีบทบาทในประเทศไทย ตั้งแต่สมัยที่ยังใช้ช้างเป็นพาหนะสำคัญ ในการขนส่งทางบก และมีเรือพายเรือแจวแล่นลอยเต็มลำน้ำลำคลอง ซึ่งตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) โดยมีนักบินชาวเบลเยี่ยมคือ นายวัลเดน เบอร์น (Vanden Born) ได้นำเครื่องบินแบบออร์วิลล์ ไรท์ (Orwille Wright) มาสาธิตการบินถวายให้ทอดพระเนตร และให้ประชาชนในกรุงเทพฯ ชม เมื่อวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2454 ณ สนามราชกรีฑาสโมสร ปทุมวัน นับเป็นเครื่องบินลำแรกที่บินเข้ามาในราชอาณาจักร โดย นายพลตรีพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นกำแพงเพชรอัครโยธิน (พลเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน) ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ และจเรทหารช่างแห่งกองทัพบก ได้ทรงเป็นผู้โดยสารที่ขึ้นบินทดลองชุดแรก เมื่อเสร็จการแสดงแล้ว ได้ทรงซื้อเครื่องบินนั้นไว้เพื่อประโยชน์แก่การศึกษา และในปี พ.ศ. 2454 นั้นเอง กระทรวงกลาโหม ได้ส่งนายทหารไทย 3 นาย ไปศึกษาวิชาการบิน ณ ประเทศฝรั่งเศส เมืองวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2454 ได้แก่ นายพันตรีหลวงศักดิ์ ศัลยาวุธ (นายสุณี สุวรรณประทีป) นายร้อยเอกหลวงอาวุธ สิขิกร (นายหลง สิน-ศุข) และ นายร้อยโททิพย์ เกตุทัต
     เมื่อนายทหารทั้ง 3 นาย จบการศึกษา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ทรงให้จัดซื้อเครื่องบินบรรทุกเรือกลับมาประเทศไทย จำนวน 8 ลำ เป็นเครื่องบินที่ทางราชการซื้อ 7 ลำ และเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (ชุ่ม อภัยวงศ์) ซื้อให้ทางราชการ 1 ลำ หลังจากนั้นได้มีการก่อตั้งแผนกการบินทหาร โดยใช้สนามราชกรีฑาสโมสรเป็นสนาม บิน และสร้างโรงเก็บเครื่องบินขึ้นในบริเวณนั้น และในปี พ.ศ. 2457 กระทรวงกลาโหมได้ดำเนินการก่อสร้างสนามบินดอนเมืองแล้วเสร็จ เพื่อเป็นสนามบินที่ใช้ในกิจการทหาร และได้เลื่อนฐานะแผนกการบินทหารยกขึ้นเป็นกรม และได้เคลื่อนย้ายจากสนามราชกรีฑาสโมสรไปสู่ที่ตั้งใหม่ที่ดอนเมือง จนถึงปี พ.ศ. 2491 ท่าอากาศยานดอนเมืองได้เข้ามาอยู่ในการควบคุมดูแล ของกรมการบินพลเรือน กองทัพอากาศ (และในปี พ.ศ. 2499 ได้เปลี่ยนชื่อท่าอากาศยานดอนเมืองเป็นท่าอากาศยานกรุงเทพ แต่ยังคงสังกัดกองทัพอากาศอยู่) ท่าอากาศยานดอนเมืองให้เป็นสนามบินหลักของประเทศ และได้รับการพัฒนาสร้างเสริมต่อเติมมาจนกระทั่งปัจจุบัน
     เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ขึ้น และใน พ.ศ. 2461 ไทยได้ส่งทหารอาสาเข้าร่วมการรบด้วย 300 คน ทหารอาสาของไทยได้มีโอกาสเรียนรู้เรื่อการขับเครื่องบิน และเลยไปถึงการสร้าง เครื่องบินจากทหารฝรั่งเศส เมื่อสิ้นสงครามโลกปรากฏว่าไทยมีนักบินที่มีคุณสมบิตครบถ้วนมากกว่า 100 คน ประชาชนชาวไทยต่างพร้อมใจกัน บริจาคเงินซื้อเครื่องบินให้กับทางราชการ (กระทรวงกลาโหม) ได้รับเงินบริจาคเป็นจำนวนมากจากจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยใช้ชื่อของจังหวัดที่บริจาคเงิน เป็นชื่อของเครื่องบินได้เป็นจำนวนมากถึง 31 ลำ
     เมื่อ พ.ศ. 2462 ได้มีการทดลองทำการบินรับส่งไปรษณีย์ระหว่างกรุงเทพฯ กับจันทบุรีด้วยเครื่องบินเบรเกต์ (Breguet XIV) ซึ่งเป็นเครื่องบินทหารที่ได้ดัดแปลงมาใช้งานขนส่งทางอากาศ นับว่าประเทศไทยได้ก้าวเข้ามาสู่การบินก่อนหน้าประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคนี้ การทดลองทำการบินได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ต่อมาจึงได้มีการขนส่งผู้โดยสารในเส้นทางนี้ด้วย
เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2463 กรมอากาศยานทหารบกได้เปิดการบินรับส่งไปรษณีย์ ระหว่างจังหวัดนครราชสีมา กับจังหวัดอุบลราชธานีขึ้น เพราะในเวลานั้นจังหวัดทั้ง 2 ยังมิได้มีการติดต่อกันโดยทางรถไฟ เส้นทางบินได้ขยายออกไปยังจังหวัดอุดรธานี และหนองคาย มีเส้นทางบินอีกสายหนึ่งไปยังจังหวัดพิษณุโลก และเพชรบูรณ์ แม้จะมีการขนส่งผู้โดยสารบ้าง แต่บริการหลักก็ยังคงเป็นไปรษณีย์ และเป็นการขนส่งไปยังจังหวัดที่ยังไม่มีรถไฟเชื่อมถึง
     ในปี พ.ศ. 2468 ประเทศไทยได้จัดตั้งกองบินพลเรือน กรมบัญชาการกระทรวงพาณิชย์และคมนาคม และจากนั้นการบินพลเรือนของประเทศ ได้มีหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบมาโดยตลอด
     เมื่อ พ.ศ. 2472 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) ได้พระราชทานทุนให้ น.อ.เลื่อน พงษ์โสภณ ซึ่งเป็นผู้ชำนาญการจักรกลอยู่แล้ว ไปศึกษาวิชาการบินและวิศวกรรมช่างกลต่อที่สหรัฐอเมริกา เป็นเวลา 3 ปี เมื่อสำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ. 2475 ก่อนเดินทางกลับเมืองไทย น.อ.เลื่อน พงษ์โสภณ ได้ไปรับจ้างแสดงการบินผาดโผน เป็นที่ชื่นชอบของผู้ชม จึงได้เดินทางไปแสดงในรัฐต่างๆ หลายแห่ง จนกระทั่งมีเงินเหลือเก็บจึงขอซื้อเครื่องบินจากบริษัท TRAVEL AIR ในแบบเครื่องยนต์ CURTISS OX-5 90 แรงม้า ในราคา 6,000 บาท และใช้เครื่องบินนั้นบินกลับมายังประเทศไทย โดยให้ชื่อเป็นภาษาไทยว่า “นางสาวสยาม” และเป็นภาษาอังกฤษว่า “MISS SIAM” นับเป็นเครื่องบินพลเรือนลำแรกของประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. 2475 น.อ. เลื่อน พงษ์โสภณ ได้ทำการบินเดี่ยวจากประเทศไทยไปยังประเทศจีน และกลับในความอุปถัมภ์จาก สมาชิกสโมสรสามัคคีจีนสยาม (ชาวจีนในไทย) ได้ช่วยกันเรี่ยไรเงิน นับว่าประเทศไทยได้มีการคมนาคมทางอากาศกับประเทศจีนเป็นครั้งแรก

2011年2月9日星期三

เมืองซูโจว

เมืองฃูโจวตั้งอย่อภาคใต้ของมณฑลเจีนยงฃูเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงทางด้างวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์นับเป็นเมืองอุทยานชื่อดังของจีน มีชื่อย่อว่าฃู หรือ กูฃู
วัฒนธรรมของฃูโจวได้มีการพัฒนาที่ต่อเนื่องโดยตลอด มีวัตถุโ บราณเก็บรักษาไว้มากมาย การท่องเที่ยวก็พัฒนาอ
ย่างรวดเร็ว เมืองซูโจวเป็นเมืองสวยงามลือชื่อด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนาน ดึงดูดนักท่องเที่ยวมาจากทั่วทุกหัวระแหง
ศาลาชางล่าง
ศาลาชางล่างอยู่ในอุทยานเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในซูโจว  สร้างขึ้นโดยกวีซูจื่อเหม่ยในราชวงศ์ซ่ง ทิวทัศน์หลักคือ ภูเขาจําลองในสวน ภูเขามีต้นไม้สูงเทียมฟ้ามีศาลาชางล่างหลบซ่อนอยู่ข้างใน
ป่าสิงโต
ป่งสิงโตเป็นตัวแทนของอุทยานในสมัยราชวงศ์หมิง เนื่องจากอุทยานนี้มีภูเขาจําลองที่ก่อด้วยหินทะเลสาบไท่หูอย่างประณีตงดงาม รูปร่างลักษณะของยอดหินจํานวนมากดูคล้ายกับสิงโต ในท่าต่างๆ คล้ายกับมีชีวิต จึงได้ชื่อว่าป่าสิงโต
สวนโจ๋เจิ้ง
สวนโจ๋เจิ้งสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง สวนแบ่งออกเป็นสามส่วนคือสวนตะวันออกสวนกลางและสวนตะวันตก
สวนกลางเป็นส่วนสําคัญของสวนโจวเจิ้ง
การจัดสวนจะถือเอาสระนํ้าเป็นศูนย์กลางที่ริมสระนํ้าจะมีศาลาอยู่โดยศาลาบางแห่งโผล่ออกจากน้ำโดยตรงถือเป็นลักษณะเด่นของพื้นที่ภาคใต้แม่น้ำแยงฃีเกียง
สวนหลิวหยวน
สวนหลิวมีรูปแบบของอุทยานในสมัยราชวงศ์ชิง

อุตสาหกรรมคมนาคมและการขนสง

อุตสาหกรรมคมนาคมและการขนส่ง
      หลังจากที่ประเทศจีนได้กลายเป็นแหล่งโรงงานของโลก ทำให้บริษัทต่างชาติที่เข้ามาทำธุรกิจในประเทศจีนต้องสั่งของจากต่างประเทศเข้ามามาก ทำให้เกิดความต้องการในการขนส่งสินค้าเข้าประเทศเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ปริมาณสินค้าในประเทศที่เพิ่มขึ้นก็ทำให้การขนส่งภายในประเทศที่มีประสิทธิภาพเป็นที่ต้องการมากขึ้นเช่นกัน
การปรับปรุงทางด้านการขนส่งของจีนแบ่งได้เป็น 2 ส่วน หนึ่งคือการขยายและปรับปรุงระบบสาธารณูปโภคของรัฐบาล สองคือการปรับปรุงการจัดการระบบการขนส่งและกระจายสินค้าที่ดีขึ้น  ประเทศจีนถือว่าเป็นประเทศที่ยากต่อการสร้างระบบการขนส่งที่ดีเนื่องจากข้อจำกัดทางด้านพื้นที่ที่ใหญ่และประชากรที่มหาศาล
ภาคการขนส่งของจีนเป็นภาคที่ต้องการการปรับปรุงมากที่สุด มีรายงานว่าต้นทุนทางการผลิตสินค้ามาจากค่าการขนส่งถึง 40% รัฐบาลต้องการพัฒนาระบบการขนส่งเป็นอย่างมาก แต่การร่วมมือจากต่างชาติยังอยู่ในระดับที่ต่ำ
รถบรรทุกถือเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ในการขนส่งเพราะเร็วและมีความคล่องตัว แต่จากปัญหาทางด้านความจุที่น้อย, ต้นทุนที่สูง และบางครั้งก็ทำความเสียหายให้กับสินค้า ทำให้สัดส่วนในการใช้บริการน้อยเมื่อเทียบกับรถไฟหรือเรือ
การขนส่งทางรถไฟได้รับความนิยมมากที่สุดโดยเฉพาะถ้าบริเวณนั้นยังไม่มีถนนตัดผ่าน ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าการขนส่งทางเรือ แต่ข้อเสียของรถไฟก็คือ อัตราความเสียหายขอสินค้าที่สูงกว่ารถไฟ, ขโมย ดังนั้นการขนส่งทางรถไฟจึงเหมาะกับการส่งสินค้าอุปโภคบริโภคทีละมาก ๆ เช่น ถ่านหิน เป็นต้น ในช่วงปี 2002-2007 จีนมีแผนการขยายทางรถไฟอีก 16 สาย เป็นระยะทางกว่า 7,000 กม. ซึ่งได้เปิดโอกาสให้บริษัทต่างชาติเข้ามาร่วมลงทุน วางแผนออกแบบการก่อสร้าง
การขนส่งทางเรือได้ครอบคลุมการนำเข้าส่งออกเกือบทั้งหมดของประเทศจีน โดยมี Shanghai เป็นท่าใหญ่ที่สุดบนแผ่นดินใหญ่ และมีโครงการที่จะลงทุนเพิ่มอีกกว่า 16 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการพัฒนาให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นในอีก 15 ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้Shanghai จะกลายเป็นท่าที่มีขนาดถึง 25 ล้านTEUs ขณะที่ความจุรวมของท่าเรือทั้งประเทศจีนอยู่ที่ 100 ล้านTEUs ในปี 2003 โดยท่าที่สำคัญได้แก่ Shenzhen, Guangzhou, Zhongshan รวมไปถึง Hongkong และแถบแม่น้ำไข่มุก Shanghai, Ningbo, Xiamenและ Fuzhou และแถบชายฝั่งตอนกลาง Tianjin,Qingdao และ Dalian
การขนส่งทางเรือมีข้อดีเหมือนรถไฟก็คือถูกและเหมาะกับสินค้าอุปโภคบริโภคจำนวนมาก มีความพยายามที่จะปรับปรุงความปลอดภัยและผู้ช่วยในการนำทางให้กับการเดินทางทางเรือ แต่ก็ยังมีปัญหาทางด้านอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ยังล้าหลังอยู่ การสร้างเขื่อนซานเสียที่แม่น้ำแยงซีพอจะช่วยในเรื่องความปลอดภัยและการจราจรทางน้ำได้บ้าง
สายการบินต่างชาติหรือบริษัทขนส่งสินค้าโดยเฉพาะได้เข้ามาให้บริการบรรทุกสินค้าในประเทศจีน การขนส่งทางอากาศยังเป็นส่วนที่สามารถพัฒนาดีอีกมาก สิ้นปี 2004 จีนมีเครื่องบินขนส่งเพียง 24 ลำเท่านั้น ภายหลังการเข้าเป็นสมาชิก  WTO บริษัทต่างชาติก็เข้ามาให้บริการมากขึ้นเช่น DHL, UPS, Fedex และ Lufthansa
จากกระแสการใช้บริษัทที่สามเข้ามาดูแลทางด้านการขนส่งโดยเฉพาะของบริษัทระดับโลกหลายแห่ง ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีทำให้จีนต้องหันมาให้ความสำคัญโดยเฉพาะในข้อตกลงกับ WTO ซึ่งได้ข้อสรุปว่า ตั้งแต่มกราคม 2004 บริษัทจากฮ่องกงจะได้รับอนุญาตให้เข้ามาดำเนินธุรกิจทางภาคการขนส่งได้อย่างเต็มที่ และตอนสิ้นปี 2004 บริษัทต่างชาติจะสามารถเข้ามาดำเนินธุรกิจในภาคการขนส่งทางถนนได้ แต่การขนส่งทางรถไฟจะอนุญาตในปี 2006 ขณะที่บริษัทต่างชาติที่ถือหุ้น 75% ขึ้นไปจะสามารถดำเนินธุรกิจทางเรือได้ในปี 2005
การพัฒนาระบบการขนส่งของจีนนั้นต้องเริ่มจากการพัฒนาระบบการให้บริการข้อมูลต่าง ๆ โดยเฉพาะทางด้านอินเตอร์เน็ต และยิ่งมีคู่แข่งเข้ามาในธุรกิจนี้มากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นผลดีต่อภาพรวมเท่านั้น เห็นได้จากการเติบโตในอุตสาหกรรมนี้ถึง 30-50% ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านและจะเป็นเติบโตอย่างนี้ไปอีกหลายปี

จีนเดินหน้าสู่เป้าหมาย ประเทศเครือข่ายรถไฟไฮสปีดยาวที่สุดในโลก

จีนเปิดรถไฟความเร็วสูงวิ่งบริการระหว่างเมืองสำคัญเซี่ยงไฮ-หางโจวเมื่อ เช้าวันอังคาร ( 26 ต.ค.) ที่ผ่านมา ซึ่งรถไฟความเร็วสูงสายนี้ถือได้ว่าเป็นหลักไมล์สำคัญล่าสุดของจีนตามแผนการ สร้างเครือข่ายไฮสปีดเทรนที่มีความเร็วสูงสุดของโลก
    รถไฟหัวกระสุนความ เร็วสูงทั้งสองขบวนขับเคลื่อนด้วยระบบ CRH380A ของจีนออกเดินทางจากสถานีหงเฉียว (Hongqiao Station ) ในเซี่ยงไฮและสถานีหางโจว ( Hangzhou Station ) พร้อมๆกัน เมื่อเวลา 9:00 a.m. ของวันอังคารที่ผ่านมา รถไฟทั้งสองขบวนวิ่งด้วยความเร็วเฉลี่ยที่ 350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้การเดินทางระหว่างเมืองทั้งสองใช้เวลาราว 45 นาที จาก ลดลงจากการเดินทางโดยรถไฟธรรมดาที่ใช้เวลานานถึง 78 นาที

    หลังใช้เวลาในการก่อ สร้างมาเวลานาน 20 เดือน เส้นทางรถไฟความเร็วสูงล่าสุดของจีนซึ่งมีระยะทางยาว 202 กิโลเมตรนี้ไม่เพียงจะทำให้การเดินทางระหว่างนครเซี่ยงไฮ เมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของจีน กับเมืองหางโจว เมืองหลวงของมณฑลเจ้อเจียงทางตะวันออกของจีนเป็นไปด้วยความสะดวกและรวดเร็ว เท่านั้น แต่ทางรถไฟสายนี้ยังช่วยขยาย เครื่อข่ายรถไฟความเร็วสูงที่เปิดให้บริการแก่สาธารณชนแล้วในประเทศจีนให้มี ความยาวเพิ่มมากขึ้นเป็นระยะทางรวมถึง 7,431กิโลเมตรแล้ว ณ ขณะนี้

    เมื่อต้นเดือนกันยายน ก่อนหน้านี้ รถไฟความเร็วสูงเซี่ยงไฮ-หางโจวสายนี้ ยังได้สร้างความตื่นตะลึงให้แก่ชาวโลกมาแล้ว เมื่อรถขบวนทดสอบสามารถวิ่งด้วยความเร็วถึง 416.6 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำลายสถิติความเร็วของรถไฮสปีดเทรนของโลกด้วย

    หลิว จีจุน รัฐมนตรีการรถไฟ กล่าวในงานพิธีเปิดทางรถไฟความเร็วสูงเซี่ยงไฮ-หางโจว ว่า รถไฟสายนี้จะช่วยบรรเทาแรงกดดันด้านปัญหาการจราจรที่แออัดในภูมิภาคสาม เหลี่ยมแม่น้ำยั่งจื้อลงไปได้ และไม่เพียงแต่จะช่วยส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและปัจเจกชนเท่านั้น แต่ยังจะช่วยในการบูรณาการภูมิภาคสามเหลี่ยมแม่น้ำยั่งจื้อเข้ากับภูมิภาค อื่นๆ ของจีนด้วย

    กระทรวงรถไฟ ( Ministry of Railways หรือ MOR ) ของจีน คาดการณ์ว่า ในปี 2010 นี้ จะมีผู้โดยสารที่เดินทางเข้าออกในภูมิภาคนี้จำนวน 3,050 ล้านเที่ยว และจะเพิ่มจำนวนเป็น 5,500 ล้านเที่ยวในปี 2020

    สำหรับราคาตั๋วรถไฟ ความเร็วสูงสายเซี่ยงไฮ-หางโจว ซึ่งมีสถานีแวะจอดทั้งหมด 9 แห่ง ชั้นเฟิร์สคลาสราคา 156 หยวน ( ประมาณ 23.4 ดอลลาร์สหรัฐ ) ส่วนชั้นสองอยู่ที่ 98 หยวน ( ประมาณ 14.7 ดอลลาร์สหรัฐ )

    จีนเปิดบริการรถไฟ ความเร็วสูงสายแรกของประเทศ ซึ่งวิ่งให้บริการระหว่างปักกิ่งเมืองหลวงของจีนกับเมืองท่าสำคัญเทียนจินใน ช่วงเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันปักกิ่งโอลิมปิกส์ ในปี 2008 จากนั้นก็ทะยอยเปิดบริการเส้นทางรถไฟความเร็วสูงเพิ่มขึ้นอีกหลายสาย คือ สายวูฮัน-กวางโจว เชื่อมภาคกลางเข้ากับภาคใต้ของจีน ,สายเชิ้นโจว-เซี่ยอาน เชื่อมภาคกลางเข้ากับภาคตะวันตกของจีนเข้าด้วยกัน และสายเซี่ยงไฮ-หนานจิง ในภาคตะวันออกของประเทศ
การขยายเครื่อข่ายรถ ไฟไฮสปีดอย่างขมักเขม้นของจีนนี้ ยังเป็นไปตามเป้าหมายที่จีนวาดฝันไว้ด้วย นั่นคือการก้าวไปจะเป็นประเทศที่มีเครือข่ายเส้นทางรถไฟความเร็วสูงที่ยาว ที่สุดในโลก สถิติของทางการจีนระบุว่า ภายในปี 2012 เครือข่ายระบบรางของจีนจะมีความยาวทั้งหมด 110,000 กิโลเมตร และ 13,000 กิโลเมตรจะเป็นเส้นทางรถไฟความเร็วสูง

    เครือข่ายเส้นทางรถไฟ ความเร็วสูงที่โดดเด่นสำคัญที่สุดของจีนคือ ทางรถไฟยาว 1,318 กิโลเมตรเชื่อมระหว่างปักกิ่ง-เซี่ยงไฮ มูลค่า 220,900 ล้านหยวน ( ประมาณ 33,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างในขณะนี้ และมีกำหนดเสร็จสมบูรณ์และจะเปิดให้บริการได้ในปี 2012 รถไฟความเร็วสูงสายนี้จะทำให้การเดินทางระหว่างเมืองที่สำคัญที่สุดของจีน สองเมืองลดลงกว่าครึ่งหนึ่งของเวลาเดินทางด้วยรถไฟธรรมดาในปัจจุบัน หรือใช้เวลาน้อยกว่า 5 ชั่วโมงเท่านั้น
        สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับการพัฒนาเครือข่ายรถไฟความเร็วสูงของจีนนั้น  ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร  ผอ. สคร. ณ นครเซี่ยงไฮ้ ได้เผยแพร่บทความเรื่อง "พัฒนาการรถไฟความเร็วสูงของจีน ... มาเร็ว มาแรง" ระบุว่า ตามแผนแม่บทการพัฒนาเส้นทางรถไฟของจีนนั้น รัฐบาลจีนวางเป้าหมายว่า ภายในปี 2563 หรือประมาณ 10 ปีจากนี้ไป โครงข่ายเส้นทางรถไฟความเร็วสูงในจีนจะขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 50,000 กิโลเมตร เชื่อมโยงเมืองเอกของแต่ละมณฑลและเมืองที่มีจานวนประชากรมากกว่า 500,000 คนไว้ทั้งหมด ซึ่งเท่ากับว่าประมาณร้อยละ 90 ของจำนวนประชากรทั้งหมดของจีนจะสามารถใช้บริการรถไฟดังกล่าวได้อย่างสะดวกสบาย
          นอกจากนี้ กระทรวงการรถไฟจีนยังให้ข้อมูลอีกว่า จีนจะเร่งสร้างโครงข่ายรถไฟอย่างแพร่หลาย เพื่อตอบสนองต่อความต้องการในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ผู้โดยสารและสินค้าจะสามารถขนส่งได้อย่างเสรีและสะดวกโดยปราศจากอุปสรรค ตามแผนแม่บทการพัฒนารถไฟความเร็วสูงของรัฐบาลจีนที่กำหนดไว้เมื่อปี 2547 ระบุว่า รถไฟความเร็วสูงของจีนจะมี 4 เส้นทาง “เหนือ-ใต้” และอีก 4 เส้นทาง “ตะวันออก-ตะวันตก”

          เส้นทาง “เหนือ-ใต้” ทั้ง 4 ประกอบด้วย
          1. เส้นทาง ปักกิ่ง-เซี่ยงไฮ้ เป็นระยะทางยาว 1,318 กิโลเมตร
          2. เส้นทาง ปักกิ่ง-อู่ฮั่น-กวางโจว-เสิ่นเจิ้น (ฮ่องกง) ระยะทางยาว 2,350 กิโลเมตร
          3. เส้นทาง ปักกิ่ง-เสิ่นหยาง-ฮาร์บิน เป็นระยะทางยาว 1,612 กิโลเมตร
          4. เส้นทาง เซี่ยงไฮ้-หังโจว-หนิงโปว-ฝูโจว-เสิ่นเจิ้น เป็นระยะทางยาว 1,650 กิโลเมตร

          ขณะที่เส้นทาง “ตะวันออก-ตะวันตก” ประกอบด้วย
          1. เส้นทาง ชิงเต่า-สือเจียจวง-ไท่หยวน เป็นระยะทางยาว 906 กิโลเมตร
          2. เส้นทาง สูโจว-เจิ่นโจว-หลานโจว เป็นระยะทางยาว 1,346 กิโลเมตร
          3. เส้นทาง เซี่ยงไฮ้-หนานจิง-อู่ฮั่น-ฉงชิ่ง-เฉิงตู เป็นระยะทางยาว 1,922 กิโลเมตร
          4. เส้นทางเซี่ยงไฮ้-หังโจว-หนานชาง-ฉางซา-คุนหมิง เป็นระยะทางยาว 2,264 กิโลเมตร
          นอกจากเส้นทางเชื่อม 4 ทิศหลักนี้แล้ว รัฐบาลจีนยังมีแผนพัฒนารถไฟความเร็วสูงระหว่างเมืองรองในแต่ละมณฑลและมหานครด้วย อาทิ ย่านริมฝั่งทะเลโป๋วไฮ่ ลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง ฉงชิ่ง และเฉิงตู แถมล่าสุดเมื่อปลายปี 2552 รัฐบาลจีนยังได้ประกาศที่จะทุ่มเงินก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงผ่านอุโมงค์ใต้ทะเลระยะทางยาวกว่า 55 กิโลเมตรเชื่อมระหว่างมณฑลฝูเจี้ยน-เมืองทางตอนเหนือของเกาะไต้หวันอีกด้วย ซึ่งจะทำลายสถิติเป็นอุโมงค์ใต้ทะเลที่ยาวที่สุดในโลกอีกครั้ง เส้นทางย่อยที่วางแผนไว้เหล่านี้จะเชื่อมโยงไปยังเส้นทางรถไฟความเร็วสูง 8 เส้นทางหลักดังกล่าว

          เส้นทางรถไฟความเร็วสูงของจีนที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง
          - ฮาร์บิน-ต้าเหลียน เพื่อเชื่อมฮาร์บิน-เสิ่นหยาง และต้าเหลียนในอีสานจีน ระยะทาง 950 กิโลเมตร ความเร็วระหว่าง 300-350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และคาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2556
          - ปักกิ่ง-เซี่ยงไฮ้ เพื่อเชื่อมมหานครทั้งสอง ผ่านจี่หนาน ซูโจว และหนานจิง ระยะทาง 1,318 กิโลเมตร ความเร็วสูงสุด 350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และคาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2554
          - ปักกิ่ง-กวางโจว เพื่อเชื่อมกรุงปักกิ่งและกวางโจว ศูนย์กลางทางตอนใต้ของจีน ผ่านสือเจียจวง อู่ฮั่น และฉางซา ระยะทาง 2,200 กิโลเมตร ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เส้นทางรถไฟท่อนกวางโจว-อู่ฮั่นได้เปิดให้บริการแล้ว และส่วนที่เหลือคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ในปี 2555
          - เซี่ยงไฮ้-เซินเจิ้น เพื่อเชื่อมเมืองสาคัญริมชายฝั่งทะเลด้านซีกตะวันออกของจีน จากศูนย์กลางทางธุรกิจในด้านซีกตะวันออก ผ่านหังโจว หนิงโปว ฝูโจว อู่ฮั่น ก่อนเข้าเซินเจิ้น ระยะทาง 1,650 กิโลเมตร ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ในปี 2554
          - ชิงเต่า-ไท่หยวน เพื่อเชื่อมพื้นที่ด้านซีกตะวันออกและภาคเหนือ โดยผ่านสือเจียจวง ระยะทาง 770 กิโลเมตร ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เส้นทางรถไฟท่อนสือเจียจวง-ไท่หยวนและชิงเต่า-จี่หนานได้เปิดให้บริการแล้ว และส่วนที่เหลือคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ในปี 2563
          - สูโจว-หลานโจว เพื่อเชื่อมสูโจว เจิ้งโจว ซีอาน และหลานโจว ระยะทาง 1,400 กิโลเมตร ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เส้นทางรถไฟช่วงเจิ้งโจว-ซีอานได้เปิดให้บริการแล้ว และส่วนที่เหลือยังอยู่ระหว่างการดาเนินการ ทั้งนี้มิได้กาหนดช่วงเวลาที่โครงการจะแล้วเสร็จ
          - เซี่ยงไฮ้-เฉิงตู เป็นเส้นทางรถไฟควมเร็วสูงตามแนวแม่น้าแยงซีเกียง เชื่อมตะวันออกและตะวันตกจากเซี่ยงไฮ้ หนานจิง เหอเฝย อู่ฮั่น ฉงชิ่ง และเฉิงตู ระยะทางรวม 1,900 กิโลเมตร ความเร็วระหว่าง 200-350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ภายในปี 2554
          - เซี่ยงไฮ้-คุณหมิง โดยเชื่อมผ่านหังโจว หนานชาง และฉางซา ระระทางยาวถึง 2,264 กิโลเมตร ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และคาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2558
          ภายหลังจากที่การพัฒนาเส้นทางรถไฟความเร็วสูงดังกล่าวเสร็จสมบูรณ์ ผู้โดยสารรถไฟในจีนจะใช้เวลาเดินทางจากกรุงปักกิ่งไปยังเมืองสำคัญในแต่ละมณฑลของจีนได้ภายในเวลาไม่เกิน 8 ชั่วโมง!

   เห็นข้อมูลและการพัฒนาระบบรางของจีนแล้วต้องยกนิ้วโป้งให้เลย เพราะเหมือนตาข่ายใยแมงมุม ถ้าเสร็จเรียบร้อย การเดินทาง ขนส่งโลจิสติกส์ภายในประเทศคงจะสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น  น่าอิจฉาจริงๆ  แต่ถ้าหันมามองระบบบบรางในบ้านเราบ้างต้องถอนหายใจกันอีกหลายเฮือก  
  อย่างไรก็ตาม ขณะที่โครงการรถไฟ ความเร็วสูงของจีนก้าวรุดหน้าอย่างรวดเร็วนั้น ล่าสุด ในเมืองไทยเราก็มีความพยายามที่จะผลักดันโครงการรถไฟความเร็วสูงเหมือนกัน โดยเมื่อวันอังคาร (26 ต.ค.) ที่ผ่านมาที่ประชุมร่วมรัฐสภา มีมติ เห็นชอบ 295 เสียง ต่อ 10 เสียง เห็นชอบร่างกรอบเจรจาความร่วมมือด้านการพัฒนากิจการรถไฟระหว่างราชอาณาจักร ไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน (ครม.เป็นผู้เสนอ) ตามกรอบรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ซึ่งมีการพิจารณาตั้งแต่เมื่อวันที่ 19 ต.ค. ที่ผ่านมา โดยจะร่วมมือกันพัฒนาการก่อสร้างทาง การเดินรถไฟและการบริหารจัดการกิจการรถไฟความเร็วสูงใน 5 เส้นทางหลัก ประกอบด้วย เส้นทางกรุงเทพฯ-หนองคาย, กรุงเทพฯ-ระยอง, กรุงเทพฯ-ปาดังเบซาร์ ,กรุงเทพฯ-อุบลราชธานี และกรุงเทพฯ-เชียงใหม่

    ก็ต้องจับตาดูและลุ้นกันต่อไปล่ะว่าโครงการเหล่านี้ของไทยจะมีโอกาสเป็นจริงได้อย่างรวดเร็วเหมือนจีนเขาหรือป่าว !

TNT Hoau บริการการขนส่งทางบก แบบกำหนดวันในการจัดส่งได้อย่างสมบูรณ์แล้วในประเทศจีน

กรุงเทพฯ, 8 มีนาคม 2553 TNT Hoau ศูนย์กระจายสินค้าทางบกของทีเอ็นทีในประเทศจีน ประกาศถึงการดำเนินงานที่สมบูรณ์แบบของเครือข่ายการขนส่งทางบกแบบกำหนดวันทั่วประเทศวันนี้ โดยตลอดระยะเวลาสองเดือนที่ผ่านมา TNT Hoau ได้ขยายการดำเนินงานไปสู่เมืองเฉิงตู ฉงชิ่ง เจิ้งโจว ซีอาน เหยียนไถ่ และเซียะเหมิน ปัจจุบัน บริษัทสามารถให้บริการขนส่งทางบกที่สามารถกำหนดวันในการจัดส่งในเมืองใหญ่ทั้ง 26 แห่งของประเทศจีน ด้วยพาหนะขนส่งที่สามารถกำหนดวันกว่า 246 สาย เครือข่ายนี้เชื่อมโยงคลังสินค้าถึง 800 แห่งทั่วทั้งประเทศจีน โดยเน้นความสำคัญที่ภูมิภาคหลักทางเศรษฐกิจ อันได้แก่ เขตเศรษฐกิจลุ่มแม่ย้ำแยงซี สามเหลี่ยมปากแม่น้ำไข่มุก และอ่าวป๋อไห่
 
บริการขนส่งแบบกำหนดวันในการจัดส่งของ TNT Hoau นั้น ถือเป็นทางเลือกในการขนส่งที่คุ้มค่า รวดเร็ว และน่าเชื่อถือ สำหรับทดแทนการขนส่งทางอากาศภายในประเทศ ซึ่งสามารถส่งมอบสินค้าจนถึงมือลูกค้าพร้อมระบบติดตามสถานะการขนส่งแบบออนไลน์ ยกตัวอย่างเช่น การขนส่งสินค้าจากเมืองกว่างโจวไปยังเซี่ยงไฮ้สามารถส่งสินค้าได้ภายในระยะเวลาน้อยกว่าสองวันเท่านั้น การขนส่งใช้ระบบบาร์โค้คและรถบรรทุกสินค้ามีการติดตามสถานะด้วยระบบจีพีเอส (GPS) นอกจากนี้ ในการขยายพื้นที่ให้บริการนั้น TNT Hoau ได้ทำการจัดซื้อรถบรรทุกสินค้าซึ่งสอดคล้องตามระเบียบของสหภาพยุโรปประเภทสามจำนวน 400 คัน และเปิดบริการสายด่วนข้อมูลทั่วประเทศเพื่อให้ข้อมูลเรื่องบริการขนส่งแบบกำหนดวันในการจัดส่งโดยเฉพาะ
 
อลัน มิว กรรมการผู้จัดการใหญ่แห่งทีเอ็นที ประเทศไทย กล่าวว่า ความสมบูรณ์แบบในด้านกำหนดการขนส่งสินค้าที่ตรงเวลาของเครือข่ายสำคัญในประเทศจีน ถือว่าเป็นประโยชน์สำหรับลูกค้าของเราที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในภูมิภาคนี้ ที่ต้องการบริการทางเลือกที่คุ้มค่าเพื่อทดแทนการขนส่งทางอากาศ ทั้งยังสอดรับกับเครือข่ายการขนส่ง Asia Road Network ของเราอีกด้วย และบริการแบบกำหนดวันในการจัดส่งนี้คาดว่าจะเป็นที่สนใจของบรรดาลูกค้าทั้งในปัจจุบันและในอนาคตอย่างแน่นอน”
 
วันนี้ ลูกค้าของเราในประเทศจีนได้ประโยชน์จากการดำเนินธุรกิจผ่านบริการขนส่งสินค้าแบบกำหนดวันในการจัดส่งด้วยมาตรฐานระดับโลกด้วยราคาที่ต่ำกว่าการขนส่งทางอากาศภายในประเทศ” เอ็ดเวิร์ด ซู ผู้บริหารสูงสุดแห่ง TNT Hoau กล่าว “ความสำเร็จของเราในบริการขนส่งสินค้าทางบกแบบกำหนดวัน ถือเป็นการส่งเสริมบริการในภาพรวมของทีเอ็นทีในประเทศจีน ทั้งยังเสริมสร้างสถานะความเป็นผู้นำในประเทศจีนของเราด้วย” มิเชล เดร็ค กรรมการผู้จัดการแห่งทีเอ็นที เอเชียเหนือ กล่าวเสริม
 
TNT Hoau นำเสนอบริการขนส่งสินค้าทางบกแบบกำหนดวันเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2552 ด้วยจุดประสงค์เพื่อสร้างมาตรฐานคุณภาพระดับใหม่ให้แก่ตลาดการขนส่งภาคพื้นดินของประเทศจีน ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากอุตสาหกิจทั้งขนาดกลางและขนาดเล็ก รวมถึงบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งซึ่งอยู่ในรายชื่อบริษัทที่ใหญ่ที่สุดจากการจัดอันดับของนิตยสาร Fortune โดยเฉพาะบริษัทในภาคอุตสาหกรรมไฮเทค อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนตร์และสิ่งทอ
 
บริการขนส่งสินค้าแบบกำหนดวันของ TNT Hoau ถือเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่ทำให้การดำเนินงานด้านการขนส่งแบบไม่เต็มคันรถ (Less-than-truckload-LTL) ภายในประเทศมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ซึ่งโดยรวมแล้ว TNT Hoau บริหารจัดการเครือข่ายการขนส่งทางบกด้วยศูนย์กระจายสินค้าทางบกจำนวน 1,500 แห่งและศูนย์การกระจายสินค้าภายในประเทศ 56 แห่ง ซึ่งครอบคลุมเมืองในประเทศจีนกว่า 600 แห่ง นอกจากนี้ ทีเอ็นที ยังมีเครือข่ายการขนส่งทั้งภาคอากาศและภาคพื้นดินที่เชื่อมต่อประเทศจีนไปสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลก

2010年11月8日星期一

การขนส่ง

การขนส่ง คือการเคลื่อนย้ายคนและสิ่งของจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง การขนส่งแบ่งออกเป็นหมวดใหญ่ดังนี้ ทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ และ อื่นๆ เราสามารถพิจารณาการขนส่งได้จากหลายมุมมอง โดยคร่าว ๆ แล้ว เราจะพิจารณาในสามมุมคือ มุมของโครงสร้างพื้นฐาน, ยานพาหนะ, และการดำเนินการ
กล่าวคร่าวๆ ได้ว่า การออกแบบโครงข่ายการขนส่งเป็นงานของสาขาวิศวกรรมขนส่ง (Transportation Engineering) และสาขาผังเมือง การออกแบบยานพาหนะเป็นงานของสาขาวิศวกรรมเครื่องกล และสาขาเฉพาะทางเช่นวิศวกรรมเรือและวิศวกรรมอวกาศยาน และสำหรับในส่วนของการดำเนินงานนั้นมักเป็นสาขาเฉพาะทาง แต่ก็ไม่ผิดนักที่จะกล่าวว่าอยู่ในสาขาการวิจัยดำเนินงาน (Operation Management)หรือวิศวกรรมระบบ
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%87